หน่วยที่2
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศา สตร์
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดป ระสงค์ชัดเจนว่าจะศึกษาอะไร อดีตส่วนไหน สมัยอะไร และเพราะเหตุใด เป็นการตั้งคำถามที่ต้องการ ศึกษา นักประวัติศาสตร์ต้องอาศัยก ารอ่าน การสังเกต และควรต้องมีความรู้กว้างๆ ทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนั ้นๆมาก่อนบ้าง ซึ่งคำถามหลักที่นักประวัติ ศาสตร์ควรคำนึงอยู่ตลอดเวลา ก็คือทำไมและเกิดขึ้นอย่างไ ร
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ ให้ข้อมูล มีทั้งหลักฐานที่เป็นลายลัก ษณ์อักษร และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลัก ษณ์อักษร มีทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้ น(ปฐมภูมิ) และหลักฐานชั้นรอง(ทุติยภูม ิ)
การรวบรวมข้อมูลนั้น หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือมากกว่าห ลักฐานชั้นรอง แต่หลักฐานชั้นรองอธิบายเรื ่องราวให้เข้าใจได้ง่ายกว่า หลักฐานชั้นต้น
ในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่า งๆดังกล่าวข้างต้น ควรเริ่มต้นจากหลักฐานชั้นร องแล้วจึงศึกษาหลักฐานชั้นต ้น ถ้าเป็นหลักฐานประเภทไม่เป็ นลายลักษณ์อักษรก็ควรเริ่มต ้นจากผลการศึกษาของนักวิชาก ารที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ก่อนไปศึกษาจากของจริงหรือส ถานที่จริง
การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดี ควรใช้ข้อมูลหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ศึกษาต้อง การศึกษาเรื่องอะไร ดังนั้นการรวบรวมข้อมูลที่ด ีจะต้องจดบันทึกรายละเอียดต ่างๆ ทั้งข้อมูลและแหล่งข้อมูลให ้สมบูรณ์และถูกต้อง เพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อ ถือ
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร ์ คือ การตรวจสอบหลักฐานและข้อมูล ในหลักฐานเหล่านั้นว่า มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ประกอบด้วยการวิพากษ์หลักฐา นและวิพากษ์ข้อมูลโดยขั้นตอ นทั้งสองจะกระทำควบคู่กันไป เนื่องจากการตรวจสอบหลักฐาน ต้องพิจารณาจากเนื้อหา หรือข้อมูลภายในหลักฐานนั้น และในการวิพากษ์ข้อมูลก็ต้อ งอาศัยรูปลักษณะของหลักฐานภ ายนอกประกอบด้วยการวิพากษ์ห ลักฐานหรือวิพากษ์ภายนอก
การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที ่ได้คัดเลือกไว้แต่ละชิ้นว่ ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด แต่เป็นเพียงการประเมินตัวห ลักฐาน มิได้มุ่งที่ข้อมูลในหลักฐา น ดังนั้นขั้นตอนนี้เป็นการสก ัดหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือ ออกไปการวิพากษ์ข้อมูลหรือว ิพากษ์ภายใน
การวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความห มายที่แสดงออกในหลักฐาน เพื่อประเมินว่าน่าเชื่อถือ เพียงใด โดยเน้นถึงความถูกต้อง คุณค่า ตลอดจนความหมายที่แท้จริง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อกา รประเมินหลักฐานที่เป็นลายล ักษณ์อักษร เพราะข้อมูลในเอกสารมีทั้งท ี่คลาดเคลื่อน และมีอคติของผู้บันทึกแฝงอย ู่ หากนักประวัติศาสตร์ละเลยกา รวิพากษ์ข้อมูลผลที่ออกมาอา จจะผิดพลาดจากความเป็นจริง
ขั้นตอนที่ 4 การตีความหลักฐาน
การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว ่าผู้สร้างหลักฐานมีเจตนาที ่แท้จริงอย่างไร โดยดูจากลีลาการเขียนของผู้ บันทึกและรูปร่างลักษณะโดยท ั่วไปของประดิษฐกรรมต่างๆ เพื่อให้ได้ความหมายที่แท้จ ริงซึ่งอาจแอบแฟงโดยเจตนาหร ือไม่ก็ตาม
ในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยา ยามจับความหมายจากสำนวนโวหา ร ทัศนคติ ความเชื่อ ฯลฯ ของผู้เขียนและสังคมในยุคสม ัยนั้นประกอบด้วย เพื่อทีจะได้ทราบว่าถ้อยควา มนั้นนอกจากจะหมายความตามตั วอักษรแล้ว ยังมีความหมายที่แท้จริงอะไ รแฝงอยู่
ขั้นตอนที่ 5 การสังเคราะห์ข้อมูล
ขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทา งประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ศึกษาค้นคว้าจะต้องเ รียบเรียงเรื่อง หรือนำเสนอข้อมูลในลักษณะที ่เป็นการตอบหรืออธิบายความอ ยากรู้ ข้อสงสัยตลอดจนความรู้ใหม่ ความคิดใหม่ที่ได้จากการศึก ษาค้นคว้านั้น
ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ ่านการตีความมาวิเคราะห์ หรือแยกแยะเพื่อจัดแยกประเภ ทของเรื่อง โดยเรื่องเดียวกันควรจัดไว้ ด้วยกัน รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้อง หรือสัมพันธ์กัน เรื่องที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่ งกันและกัน จากนั้นจึงนำเรื่องทั้งหมดม าสังเคราะห์หรือรวมเข้าด้วย กัน คือ เป็นการจำลองภาพบุคคลหรือเห ตุการณ์ในอดีตขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์แล ะความต่อเนื่อง โดยอธิบายถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผล ทั้งนี้ผู้ศึกษาอาจนำเสนอเป ็นเหตุการณ์พื้นฐาน หรือเป็นเหตุการณ์เชิงวิเคร าะห์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของก ารศึกษา
สรุปวิธีการทางประวัติศาสตร ์
วิธีการทางประวัติศาสตร์กับ การศึกษาเหตุการณ์ทางประวัต ิศาสตร์
ขั้นตอนของวิธีการทางปประวั ติศาสตร์
1. การกำหนดประเด็นปัญหา
เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา เรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ เพื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู ่การค้นคว้าและสืบค้นข้อมูล ต่างๆ
2. การรวบรวมหลักฐาน
เป็นการสืบค้นข้อมูลจากแหล่ งต่างๆ ที่มีอยู่อย่างหลากหลายและแ ตกต่างกัน เพื่อให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกั บเรื่องราวที่ต้องการศึกษาค ้นคว้า
3. การวิเคราะห์ การตีความและการประเมินหลัก ฐาน
เป็นการตรวจสอบหลักฐาน โดยเน้นวิเคราะห์และตีความเ พื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่น่ าเชื่อถือและได้รับการยอมรั บมากที่สุด
4. การสรุปและเชื่อมโยงข้อเท็จ จริง
เป็นการประมวลข้อมูลจากหลัก ฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้ว นและได้ข้อเท็จจริงที่สมบูร ณ์
5. การนำเสนิข้อเท็จจริง
นำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จาก การศึกษามาเรียบเรียงและอธิ บายอย่างสมเหตุสมผล โดยจะต้องบอกที่มาของหลักฐา นหรือแหล่งข้อมูลอย่างถูกต้ องและเปิดเผย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
สมัยรัตนโกสินทร์เป็นสมัยที ่มีเหตุการณ์ต่อเนื่องมาจาก อดีตมาถึงปัจจุบันเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนหน้าน ี้ ย่อมส่งผลกระทบมาจนถึงปัจจุ บัน การศึกษาเหตุการณ์สำคัญ สามารถศึกษาจากหลักฐานที่เป ็นเอกสารต่างๆ จำนวนมากเพื่อให้เข้าใจข้อม ูลได้อย่างถูกต้องชัดเจน
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดเป้าหมาย เป็นขั้นตอนแรก นักประวัติศาสตร์ต้องมีจุดป
ขั้นตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่
การรวบรวมข้อมูลนั้น หลักฐานชั้นต้นมีความสำคัญ และความน่าเชื่อถือมากกว่าห
ในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่า
การศึกษาประวัติศาสตร์ที่ดี
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
วิพากษ์วิธีทางประวัติศาสตร
การวิพากษ์หลักฐาน (external criticism) คือ การพิจารณาตรวจสอบหลักฐานที
การวิพากษ์ข้อมูล (internal criticism) คือ การพิจารณาเนื้อหาหรือความห
ขั้นตอนที่ 4 การตีความหลักฐาน
การตีความหลักฐาน หมายถึง การพิจารณาข้อมูลในหลักฐานว
ในการตีความหลักฐาน นักประวัติศาสตร์จึงต้องพยา
ขั้นตอนที่ 5 การสังเคราะห์ข้อมูล
ขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทา
ในขั้นตอนนี้ ผู้ศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ผ
สรุปวิธีการทางประวัติศาสตร
วิธีการทางประวัติศาสตร์กับ
ขั้นตอนของวิธีการทางปประวั
1. การกำหนดประเด็นปัญหา
เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา
2. การรวบรวมหลักฐาน
เป็นการสืบค้นข้อมูลจากแหล่
3. การวิเคราะห์ การตีความและการประเมินหลัก
เป็นการตรวจสอบหลักฐาน โดยเน้นวิเคราะห์และตีความเ
4. การสรุปและเชื่อมโยงข้อเท็จ
เป็นการประมวลข้อมูลจากหลัก
5. การนำเสนิข้อเท็จจริง
นำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จาก
สมัยรัตนโกสินทร์เป็นสมัยที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น